โขนเป็นหนึ่งในสุดยอดศิลปะการแสดงของไทยที่ผสานดนตรี นาฏศิลป์ วรรณศิลป์ และงานช่างเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ในปี พ.ศ. 2561 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนโขนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ทำให้โขนเป็นศิลปะการแสดงไทยชุดแรกที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก [4] ก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2552 กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ประกาศให้โขนเป็นมรดกวัฒนธรรมภูมิปัญญาของชาติ [4] การยอมรับดังกล่าวสะท้อนถึงคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์และศิลปะของโขน และกระตุ้นให้สังคมไทยร่วมอนุรักษ์มรดกนี้ไว้

ประวัติและที่มา
โขนมีต้นกำเนิดในสมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893–2310) เดิมเป็นพิธีพราหมณ์เพื่อยกย่องพระวิษณุ ต่อมาพัฒนาเป็นการเล่าเรื่องรามเกียรติ์และได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูง จากการศึกษาของมูลนิธิประเทศไทย โขนถือเป็นการแสดงหน้ากากขนาดใหญ่และซับซ้อนที่สุดของนาฏศิลป์ไทย [1] ชื่อ “โขน” สันนิษฐานว่ามาจากภาษาบาลี “กล” หรือ “กละ” ซึ่งเป็นกลองสองหน้าที่ใช้กำหนดจังหวะในการแสดง [1] นอกจากนี้โขนยังได้รับอิทธิพลจากศิลปะหลากหลายแขนง เช่น ชักนาค กระบี่กระบอง และหนังใหญ่ [1]
องค์ประกอบของการแสดง
- การเคลื่อนไหวและดนตรี – โขนประสานท่าร่ายรำที่สง่างามกับท่าเต้นเชิงรบ มีเสียงดนตรีและการขับร้องแบบพิพัฒน์ประกอบ [1]
- เนื้อหาและบทพากย์ – เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ดัดแปลงจากวรรณคดีรามเกียรติ์ ผ่านการพากย์ร้องและภาษากายที่สื่อความหมาย
- เครื่องแต่งกายและหน้ากาก – ชุดโขนทำจากผ้าไหมยกดิ้นทอง–เงิน ปักลวดลายละเอียดและประดับอัญมณี นอกจากนี้ยังมีหน้ากากยักษ์และลิงกว่า 100 แบบ ซึ่งแต่ละแบบสื่อถึงตัวละครเฉพาะและถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ [2]
ตัวละครและสัญลักษณ์
นักแสดงโขนแบ่งเป็นสี่ประเภทคือ พราห (พระ), นาง, ยักษ์ และลิง โดยแต่ละกลุ่มมีท่าทางและภาษากายเฉพาะตัว ในอดีตนักแสดงทุกบทบาทต้องสวมหน้ากาก แต่ปัจจุบันบทพระและนางใช้การแต่งหน้าอย่างประณีต ขณะที่ยักษ์และลิงยังคงสวมหน้ากาก [1] เนื้อหาของโขนมักสอดแทรกหลักจริยธรรมและคติธรรมเพื่อสั่งสอนผู้ชม ซึ่งสะท้อนมุมมองและคุณค่าของสังคมไทย [4]
โขนและมรดกโลกทางวัฒนธรรม
ยูเนสโกระบุว่าโขนเป็นศิลปะการแสดงที่ผสมผสานการเคลื่อนไหวอย่างสง่างามกับการขับร้องและเครื่องแต่งกายระยิบระยับ โขนมีบทบาทเชิงการสอน โดยถ่ายทอดเรื่องราวของพระราม ผู้เป็นอวตารของพระวิษณุและผู้รักษาความยุติธรรม [3] เดิมทีโขนสืบทอดกันในราชสำนักหรือบ้านครู แต่ปัจจุบันการเรียนการสอนได้ขยายสู่สถาบันการศึกษา โรงเรียน และชุมชนต่าง ๆ ทั้งยังรักษาวิธีการฝึกแบบดั้งเดิม [3]
โขนเป็นสัญลักษณ์ความเป็นไทยที่สำคัญ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนโขนในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ [4] ทำให้โขนได้รับความสนใจทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลและภาคส่วนต่าง ๆ จึงร่วมกันจัดแสดงและเผยแพร่โขน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสและสืบสานศิลปะอันล้ำค่านี้
การอนุรักษ์และสืบสาน
ปัจจุบันโขนไม่ได้จำกัดอยู่ในราชสำนักอีกต่อไป การแสดงมีให้เห็นในโรงเรียน สถาบันศิลปะ หมู่บ้าน และงานเทศกาลทั่วประเทศ ผู้ฝึกโขนต้องเริ่มเรียนตั้งแต่เด็กเพื่อฝึกความยืดหยุ่น ความแข็งแรง และทักษะการเต้นเฉพาะตัว ส่วนการสร้างหน้ากากและชุดยังคงใช้เทคนิคแบบดั้งเดิม เพื่อรักษาภูมิปัญญาช่างฝีมือและจิตวิญญาณของศิลปะโขน
สรุป
โขนเป็นศิลปะการแสดงหน้ากากที่สวยงามและทรงคุณค่าที่สุดของไทย เพราะรวมเอาศิลปะหลายแขนงเข้าไว้ด้วยกัน เนื้อหายังแฝงคติธรรมและบทเรียนชีวิตให้ผู้ชม การได้รับการยอมรับจากยูเนสโกช่วยตอกย้ำให้เห็นถึงคุณค่าทางศิลปะและประวัติศาสตร์ของโขน และกระตุ้นให้สังคมไทยร่วมกันอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะอันล้ำค่านี้ต่อไป
อ้างอิง
- Thailand Foundation. “Khon: The Crown Jewel of Thai Performance Arts.” เข้าถึง 27 กรกฎาคม 2025
- Thailand Foundation. “โขน: รูปแบบตัวละครและความเชื่อ.” เข้าถึง 27 กรกฎาคม 2025
- UNESCO. “Khon, Masked Dance Drama in Thailand – Video & Sound Collections.” เผยแพร่ 2017
- TAT Newsroom. “Khon – the Beautiful and Mesmerising Masked Dance Drama of Thailand.” 14 กันยายน 2022