บ้านหลังคาฟางในหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) มีชื่อเรียกตามสไตล์การก่อสร้างว่า “กัสโชสึคุริ” (Gassho-zukuri) ซึ่งมีความหมายว่า “สร้างแบบพนมมือ”
เพราะลักษณะของหลังคาที่ชันสูงคล้ายมือสองข้างที่ประนมเข้าหากัน หลังคาลาดชันนี้มีมุมระหว่าง 45-60 องศา ออกแบบมาเพื่อลดการสะสมของหิมะในฤดูหนาว ช่วยให้หิมะที่ตกหนักสามารถไหลลงได้ง่าย ป้องกันการถล่มของหลังคา ผมมีวิธีนำเที่ยว หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ด้วยตัวเอง
กัสโชสึคุริ คืออะไร?
“กัสโช” (合掌) แปลว่า “พนมมือ” หรือ “ประนมมือเข้าหากัน”
“สึคุริ” (造り) แปลว่า “รูปแบบการก่อสร้าง”
ดังนั้น กัสโชสึคุริ จึงหมายถึง “บ้านที่มีหลังคาคล้ายมือที่พนมเข้าหากัน”
เนื่องจากหลังคาทรงสูงชัน (มุม 45-60 องศา) คล้ายมือที่ประนมกัน
ที่มาและความเป็นมา
-
บ้านทรงนี้มีต้นกำเนิดย้อนไปหลายร้อยปีในพื้นที่หุบเขาแถบ จังหวัดกิฟุ (Gifu) และ โทยามะ (Toyama)
-
สร้างขึ้นโดยชาวบ้านในหมู่บ้านห่างไกลซึ่งหิมะตกหนักในฤดูหนาว
-
ชาวบ้านในอดีตประกอบอาชีพเลี้ยงไหม ทำกระดาษ และปลูกพืชบางชนิด
โครงสร้างและการใช้งาน
-
หลังคาฟางชัน – ออกแบบเพื่อให้หิมะไหลลงง่าย ไม่สะสมจนถล่มหลังคา
-
ไม่ใช้ตะปู – ใช้วิธีผูกเชือกและเข้าไม้แบบดั้งเดิม
-
ใต้หลังคา (ชั้นบน) – ใช้เลี้ยงไหม เนื่องจากอบอุ่นและอากาศถ่ายเทดี
-
ชั้นล่าง – เป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ใช้สอย
-
การมุงหลังคา – ต้องอาศัยแรงชุมชน เพราะต้องใช้แรงคนหลายสิบในการเปลี่ยนฟางใหม่ทุก 30–40 ปี
บ้านทรงกัสโชสึคุริมีต้นกำเนิดจากพื้นที่ภูเขาและหุบเขาที่ห่างไกลในจังหวัดกิฟุ (Gifu) และโทยามะ (Toyama) ซึ่งเป็นเขตที่มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว ชาวบ้านในอดีตสร้างบ้านรูปแบบนี้ขึ้นเพื่อใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและเหมาะกับสภาพแวดล้อม หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือพวกเขามักเลี้ยงไหมบนชั้นบนของบ้าน ซึ่งต้องการพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดีและอบอุ่น
โครงสร้างของบ้านเหล่านี้ไม่ใช้ตะปูในการก่อสร้าง แต่ใช้วิธีการผูกและเข้าไม้แบบดั้งเดิมอย่างแน่นหนา ด้านบนใต้หลังคาเป็นที่เลี้ยงไหมหรือเก็บของ ส่วนชั้นล่างใช้สำหรับอยู่อาศัยและทำกิจกรรมประจำวัน บ้านหนึ่งหลังมักเป็นที่อยู่ของหลายรุ่นในครอบครัวเดียวกัน
การมุงหลังคาฟางต้องอาศัยแรงคนในชุมชนจำนวนมาก เพราะต้องเปลี่ยนฟางใหม่ทุก 30–40 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่แสดงถึงความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านจนถึงปัจจุบัน
หมู่บ้านชิราคาวาโกะและโกคายามะ (Gokayama) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1995 เพราะสามารถรักษาเอกลักษณ์สถาปัตยกรรม วิถีชีวิต และวัฒนธรรมท้องถิ่นดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่บ้านทุกหลังถูกปกคลุมด้วยหิมะและประดับไฟสวยงาม กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกปรารถนาไปเยือน
บ้านกัสโชสึคุริจึงไม่ใช่แค่ที่พักอาศัย แต่เป็นสัญลักษณ์ของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกิดจากการปรับตัวและอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน หากได้ไปเห็นด้วยตาตนเอง จะสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ที่เรียบง่ายแต่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง