1. การซักประวัติและประเมินอาการ (Symptom Assessment)
- ถามเกี่ยวกับความรู้สึก เช่น แสบตา แห้งตา เหมือนมีเศษผงอยู่ในตา ตาพร่า หรือลืมตาไม่สบาย
- ใช้แบบสอบถามมาตรฐาน เช่น
- OSDI (Ocular Surface Disease Index)
- DEQ-5 (Dry Eye Questionnaire-5)
เพื่อประเมินความรุนแรงของอาการ
2. การวัดปริมาณน้ำตา (Schirmer’s Test)
- ใช้แถบกระดาษพิเศษวางที่ขอบตาล่าง
- วัดปริมาณน้ำตาที่ผลิตออกมาในช่วง 5 นาที
- ถ้าน้ำตาน้อยกว่าค่ามาตรฐาน → บ่งชี้ว่ามีภาวะตาแห้ง
3. การวัดเสถียรภาพของฟิล์มน้ำตา (Tear Break-Up Time: TBUT)
- หยอดสีฟลูออเรสซีน (Fluorescein) ลงในตา
- ใช้แสงไฟฟ้า (Slit Lamp) ดูการกระจายของน้ำตา
- นับเวลาจากการกระพริบตาจนฟิล์มน้ำตาแตกกระจาย
- ถ้าเวลาแตกเร็วกว่าปกติ (<10 วินาที) → สงสัยว่าตาแห้ง
4. การตรวจสภาพพื้นผิวดวงตา (Ocular Surface Staining)
- ใช้สีพิเศษ (เช่น Fluorescein, Lissamine green, Rose Bengal) ทาบนตา
- ดูความเสียหายที่เยื่อบุตาและกระจกตาภายใต้แสงฟ้า
- ถ้ามีรอยเปื้อนมาก → บ่งชี้ว่ามีการอักเสบหรือตาแห้งรุนแรง
5. การวัดคุณภาพน้ำตา (Tear Osmolarity Test)
- ตรวจระดับความเข้มข้นของน้ำตา
- ถ้าความเข้มข้นสูง → บ่งชี้ว่าน้ำตาขาดสมดุลและมีตาแห้ง
6. การประเมินต่อมไขมันที่เปลือกตา (Meibomian Gland Evaluation)
- กดดูการทำงานของต่อมเมโบเมียน (Meibomian glands) บริเวณขอบเปลือกตา
- ถ้ามีการอุดตันหรือหลั่งไขมันไม่ดี → เป็นสาเหตุหนึ่งของตาแห้ง
เพิ่มเติม:
ในคลินิกตาเฉพาะทาง อาจมีการใช้เครื่องมือใหม่ ๆ เช่น
- TearLab สำหรับวัด Osmolarity อย่างรวดเร็ว
- Meibography ถ่ายภาพโครงสร้างต่อมไขมันใต้เปลือกตา